1. นิยาม ความหมาย ของหลักสูตร (Defining Curriculum)
นิยามความหมายของหลักสูตร ของข้าพเจ้า “หลักสูตรคือแผนเกี่ยวกับการเรียนการสอนที่ได้กำหนด จุดประสงค์และ จุดมุ่งหมาย ,การจัดเนื้อหา ,วิธีการเรียนการสอนและการประเมินผล ไว้ก่อนที่จะเริ่มการเรียนการสอน จากนั้นก็ปฏิบัติตามหลักสูตรที่ได้วางแผน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้” อย่างไรก็ตามจะขอนิยามหลักสูตรที่นักพัฒนาหลักสูตรได้นิยามไว้
1. โบแชมป์ (Beachamp 1981:61-62) นิยามความหมายครอบคลุม 3 ขอบเขต คือ
1) เป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง
2) เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาที่จัดทำขึ้นอย่างเป็นทางการ
3) เป็นระบบการทำงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร
2. เสริมศรี ไชยศร (2526: 2-5) ได้สรุปนิยามของหลักสูตรจากการนิยามของนักหลักสูตร18 ท่านเป็น 2 ลักษณะใหญ่ คือ
1) หลักสูตรหมายถึงประสบการณ์ทั้งหมดของผู้เรียนในความรับผิดชอบของสถาบันหนึ่ง
2) หลักสูตรหมายถึงแผนประสบการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการสอน หรือ ก่อนการปฏิบัติจริงในโครงการใดก็ตาม
3. Jeff Bloom นำเสนอคำนิยามของหลักสูตรตามพัฒนาการ ดังนี้
ในปี ค.ศ. 1957 Smith “ชุดของความต่อเนื่องของประสบการณ์ที่มีศักยภาพที่จัดขึ้นในโรงเรียน เพื่อความมุ่งหมายในการทำให้กลุ่มเด็ก และเยาวชนมีวิธีการคิดและการกระทำ”
1) ค.ศ. 1959 Good “แผนงานโดยรวมทั่วไปของเนื้อหาสาระหรือวัสดดการเรียนการสอนที่โรงเรียนควรให้กับผู้เรียน เพื่อให้มีคุณสมบัติที่จะได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัติ หรือ เพื่อการสอบคัดเลือกเข้าสู่ความเป็นมืออาชีพ”
2) ค.ศ. 1962 Taba แผนสำหรับการเรียนรู้
3) ค.ศ. 1969 Foshay ประสบการณ์ทั้งหมดที่ผู้เรีนยมีภายใต้การแนะนำของโรงเรียน
4) ค.ศ. 1975 Tanner and Tanner “ประสบการณ์การเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ที่ได้รับการแนะแนวและวางแผนไว้ ที่ถูกสร้างขึ้นผ่านการปฏิรูปความรู้และประสบการณ์อย่างเป็นระบบ ภายใต้การดำเนินงานของโรงเรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีสรรถนะด้านบุคคล สังคม ที่ต่อเนื่อง และสมบูรณ์
5) Connelly and Clandinnin ค.ศ. 1988 หลักสูตรมักจะมองว่าเป็นรายวิชาในการศึกษา แต่คิดอย่างมีความหมายกว้งขึ้นกว่านั้น หลักสูตรกลายเป็นรายวิชาของชีวิตของการกระทำของบุคคลหนึ่ง เป็นประสบการณ์ชีวิตของบุคคล
6) Oliver (2001) กล่าวว่า การให้นิยามของหลักสูตรเป็นปัญหาเชิงแนวคิด เขาแบ่งนิยามหลักสูตรที่พบออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
· นิยามในจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมาย
· นิยามในลักษณะบริบทของหลักสูตร
· นิยามในลักษณะยุทธศาสตร์ของหลักสูตร
จากคำนิยามนี้ หลักสูตรนั้นเกี่ยวข้องกับเนื้อหาวิชา เอกสารที่เขียนไว้อย่างเป็นทางการและ ประสบการณ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ที่ทางโรงเรียนเป็นผู้รับผิดชอบ
2.ทฤษฎีหลักสูตร (Curriculum Theories)
จากความหมายต่าง ๆ ของหลักสูตร การวางแผนพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องอาศัยความเชื่อและทฤษฎีต่าง ๆ ทางการศึกษาซึ่งมีนักการศึกษา ได้กำหนดไว้หลายแนว ดังนี้
1. หลักสูตรเป็นวิชาและเนื้อหาวิชา ผู้มองหลักสูตรในแนวนี้คือ ผู้ที่ยึดลัทธิสัจนิยม(Perennialism) และสาระนิยม (Essentialism) ตลอดจนผู้ที่ถือว่าการศึกษาคือการฝึกวินัยทางจิต (Mental Discipline) ซึ่งเห็นว่าหลักสูตรในโรงเรียนควรประกอบด้วยวิชาที่สำคัญที่จะธำรงไว้ซึ่งคุณลักษณะแห่งความเป็นมนุษย์และเป็นการฝึกสมอง เช่น วิชาที่ยาก ๆ โดยเฉพาะการศึกษาโครงสร้างของวิชาต่าง ๆ ที่จัดเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน เช่น โครงสร้างของวิชาคณิตศาสตร์เป็นตรรกศาสตร์ โดยเฉพาะการหาเหตุผลแบบอนุมาน ข้อสังเกตสำหรับการกำหนดหลักสูตรในแนวนี้ คือ ไม่ได้ให้ความสนใจและความสำคัญในผู้เรียน (ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาหลักสูตร)
2. หลักสูตรเป็นประสบการณ์ ยึดลัทธิก้าวหน้านิยม (Progressivism) โดยเชื่อว่าวัฒนธรรมคือ สิ่งแวดล้อมของสังคม คนจะต้องยอมรับสภาพของสังคม และปรับสภาพสังคมให้ดีขึ้น จึงยึดหลักนักเรียนเป็นศูนย์กลาง (child centered) โดยดูความสนใจของผู้เรียนเป็นหลักในการสอนและการจัดประสบการณ์ให้เขา หลักสูตรจึงหมายถึงประสบการณ์ทั้งมวลที่นักเรียนพึงจะได้รับภายใต้การนำของครู
3. หลักสูตรเป็นจุดประสงค์ ถือว่าการสอนเป็นหนทางอย่างหนึ่งที่จำนำไปสู่จุดประสงค์ที่กำหนด
4. หลักสูตรเป็นแผนการ หลักสูตรคือแผนการที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ เป็นสิ่งที่เกิดจากความตั้งใจและคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเพ่งเล็งไปที่จุดมุ่งหมายของการศึกษา รวมถึงการจัดวางหลักสูตรการนำหลักสูตรไปใช้ในด้านการปฏิบัติ คือ การสอน และการประเมินผลหลักสูตรเพื่อให้เหมาะกับสภาพท้องถิ่น
5. หลักสูตรเป็นระบบการผลิต มองการให้การศึกษาเช่นเดียวกับระบบการผลิตสินค้า โดยคำนึงถึงทุนที่ได้ลงไปกับผลที่ตามออกมา จึงพยายามทำหลักสูตรให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด เช่น เขียนในรูปจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม มีการวิเคราะห์งาน วิเคราะห์กิจกรรมดังเช่น หลักสูตรระดับมัธยมศึกษา พ.ศ. 2521
นอกจากทฤษฎีข้างต้นแล้วยังมีทฤษฎีที่สำคัญที่เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ประกอบ ด้วย 5 ทฤษฎี ดังนี้
1. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความสุข มีจุดประสงค์จะหาวิธีเรียนแบบใหม่ที่ทำให้ผู้เรียนเรียนอย่างสนุกสนานทุกครั้ง
ทุกชั่วโมง ผู้เรียนมาโรงเรียนด้วยความตื่นเต้นและมุ่งมั่น อยากรู้ในสิ่งที่เขายังไม่รู้ อยากทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำ อยากเป็นในสิ่งที่เขายังไม่เคยเป็น
2. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม จุดเน้นของการเรียนเรียนรู้ คือ การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้านจิตใจ การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ได้รับการฝึกฝนทักษะชีวิตต่างๆ การแสวงหาความรู้ การคิด การจัดการความรู้ การแสดงออก การสร้างความรู้ใหม่ และการทำงานกลุ่ม ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาให้เป็นทั้งคนเก่ง คนดี และมีความสุข
3. ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิด มีจุดประสงค์ให้เป็นแนวทางสำหรับครูนำไปใช้ฝึกผู้เรียนให้เกิดการพัฒนาคุณภาพในการคิด แบ่งทักษะการคิดออกเป็น 2 ระดับ คือ ทักษะการคิดขั้นพื้นฐานและทักษะการคิดขั้นสูง
4. ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสุนทรียภาพและลักษณะนิสัย : ศิลปะ ดนตรี กีฬา เพื่อเป็นแนวทางจัดการเรียนการสอนวิชาศิลป ดนตรี และพลศึกษาแก่ครู ซึ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนที่สมบูรณ์ทุกด้าน
5. ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสุนทรียภาพและลักษณะนิสัย: การฝึกฝน กาย วาจา ใจ เพื่อพัฒนาลักษณะนิสัยเด็กไทย คือ มีมรรยาทและวิถีแห่งการปฏิบัติตนทางกาย วาจา ใจ มีสติสัมปชัญญะเพื่อการครองตน ไม่ถลำไปสู่ความชั่ว มีคุณธรรม มีความรักในเพื่อมนุษย์และธรรมชาติ การสร้างลักษณะนิสัยดังกล่าวต้องใช้กลยุทธ์การสอน
3.รูปแบบของหลักสูตร (Curriculum Design)
1.หลักสูตรแบบเน้นเนื้อหา (The Subject Matter Curriculum)
เป็นรูปแบบที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งใช้ในการสอนศาสนา ละติน กรีก อาจเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า เป็นหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาเป็นศูนย์กลาง (Subject-Centered-Curriculum) ซึ่งสอดคล้องกับวิธีการสอนของครูที่ใช้วิธีการ บรรยาย ปรัชญาการจัดการศึกษาแนวนี้จะยึดปรัชญาสารัตถนิยม(Essentialism)และสัจวิทยา(Perennialism)
2.หลักสูตรสหสัมพันธ์ (Correlated Curriculum)
หลักสูตรสหสัมพันธ์ คือ หลักสูตรเนื้อหาวิชาอีกรูปแบบหนึ่ง แต่เป็นหลักสูตรที่นำเอาเนื้อหาวิชาของวิชาต่าง ๆ ที่สอดคล้องหรือส่งเสริมซึ่งกันและกันมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน แล้วจัดสอนเป็นเนื้อหาเดียวกัน วิธีการดังกล่าวอาศัยหลักความคิดของนักการศึกษาที่ว่า การที่จะเรียนรู้สิ่งใดให้ได้ดีผู้เรียนต้องมีความสนใจเข้าใจความหมายของสิ่งที่เรียนและมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่เรียนกับสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้องเพราะฉะนั้นหลักสูตรสหสัมพันธ์จะกำหนดเนื้อวิชาใดวิชาหนึ่งหรือหมวดใดหมวดหนึ่ง แล้วนำเนื้อหาสาระวิชาที่สัมพันธ์กันมารวมไว้ด้วยกัน
3.หลักสูตรแบบผสมผสาน (Fused Curriculum or Fusion Curriculum)
หลักสูตรแบบผสมผสานเป็นหลักสูตรที่พยายามปรับปรุงข้อบกพร่องของหลักสูตรเนื้อหาวิชาเพราะฉะนั้นหลักสูตรแบบผสมผสานคือหลักสูตรเนื้อหาวิชาอีกรูปแบบหนึ่ง โดยการรวมเอาวิชาย่อย ๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกันมาผสมผสานกันในด้านเนื้อหาเข้าเป็นหมวดหมู่
4. หลักสูตรแบบหมวดวิชาแบบกว้าง (Broad Fields Curriculum)
หลักสูตรหมวดวิชาแบบกว้างหรือหลักสูตรรวมวิชา เป็นหลักสูตรที่พยายามจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากหลักสูตรเนื้อหาวิชา ซึ่งขาดการผสมผสานของความรู้ให้เป็นหลักสูตรที่มีการประสานสัมพันธ์ของเนื้อหาความรู้ที่กว้างยิ่งขึ้น
5. หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม (Social Process and Life Function Curriculum)
หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม เป็นหลักสูตรที่มุ่งแก้ไขข้อบกพร่องของหลักสูตรที่ผ่านมาด้วยการรวบรวมความรู้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยยึดกิจกรรมต่าง ๆ ของคนไทยเป็นหลัก เป็นหลักสูตรที่ถูกคาดว่ามีคุณค่ามากที่สุดสำหรับผู้เรียน การจัดหลักสูตรแบบนี้ได้ยึดเอาสังคมและชีวิตจริงของเด็กเป็นหลัก เพื่อผู้เรียนจะได้นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ เพราะมีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาวิชาในหลักสูตรกับชีวิตจริงของผู้เรียนหรือภาวะทางสังคมที่ผู้เรียนกำลังประสบอยู่ หลักการจัดหลักสูตรประเภทนี้ ได้รับอิทธิพลมาจากความคิดของจอห์น ดิวอี้ กับปรัชญาการศึกษาสาขาพิพัฒนาการนิยม และปรัชญาการศึกษาสาขาปฏิรูปนิยม
6. หลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์ (Activity or Experience Curriculum)
หลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์เป็นหลักสูตรที่เกิดขึ้นจากความพยายามที่จะแก้ไขการเรียนรู้แบบครูเป็นผู้สอนเพียงอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียนซึ่งเป็นข้อบกพร่องของหลักสูตรแบบเนื้อหาวิชา หลักสูตรแบบนี้ยึดประสบการณ์ และกิจกรรมเป็นหลักมุ่งส่งเสริมการเรียนการสอนโดยวิธีการแก้ปัญหา ผู้เรียนได้แสดงออกด้วยการลงมือกระทำ ลงมือวางแผน เพื่อหาประสบการณ์อันเกิดจากการแก้ปัญหานั้น ๆ ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการเรียนแบบการเรียนรู้ด้วยการกระทำ( Learning by Doing)
7. หลักสูตรแบบแกน (Core Curriculum)
หลักสูตรแบบแกนเป็นหลักสูตรที่ประสานสัมพันธ์เนื้อหาวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกันมุ่งที่จะสนองความต้องการและความสนใจของผู้เรียนและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เรียน ส่งเสริมการเรียนรู้แบบ Active Learning สิ่งที่เรียนจะมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์และชีวิตของผู้เรียน เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงชีวิตความเป็นอยู่มาสัมพันธ์กับการเรียนรู้ได้ เป็นหลักสูตรที่ยึดปรัชญาปฏิรูปนิยม สิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้วในรูปแบบหลักสูตรที่ผ่านมา จึงดูเหมือนว่าหลักสูตรแบบแกนจะเป็นหลักสูตรที่รวมเอาลักษณะเด่นของหลักสูตรอื่น ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งนักการศึกษาเชื่อว่าเป็นแบบที่ดีเหมาะสมที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับหลักสูตรต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว
8. หลักสูตรบูรณาการ (Integrated Curriculum)
หลักสูตรบูรณาการเป็นหลักสูตรที่รวมประสบการณ์การเรียนรู้ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ประสบการณ์ดังกล่าวเป็นประสบการณ์ที่คัดเลือกมาจากหลายสาขาวิชา แล้วจัดเป็นกลุ่มหรือหมวดหมู่ของประสบการณ์ เป็นการบูรณาการเนื้อหาเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์สัมพันธ์และต่อเนื่องอันมีคุณค่าต่อการดำรงชีวิต
4. พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านปรัชญา ด้านจิตวิทยา และด้านสังคม (Social Foundation of Curriculum)
พื้นฐานทางปรัชญา (Philosophical Foundations)
ในการพัฒนาหลักสูตรนั้น มีกิจกรรมหลายอย่างที่นักพัฒนาหลักสูตรต้องกระทํา เช่น การกําหนด จุดมุ่งหมายของการศึกษาแต่ละระดับ การกําหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร การกําหนดจุดประสงค์การเรียนการสอน ฯลฯ การพิจารณากําหนดสิ่งต่างๆที่กล่าวมาต้องอาศัยความรู้ด้านต่างๆ หลายด้าน รวมทั้งปรัชญาด้วย ตัวอย่างปรัชญาการศึกษาร่วมสมัยที่สําคัญ 6 ปรัชญา ได้แก่ 7 ปรัชญาการศึกษาลัทธินิรันตรวาทนิยม (Perennialism) เชื่อว่าการมุ่งศึกษาวิทยาการที่ได้รับการยอมรับในอดีตว่าเป็นวิทยาการขั้นสูง จําเป็นจะต้องฝึกฝนอบรมให้เป็นผู้นําทางปัญญา ให้มีความสามารถในการใช้เหตุผล เพื่อเตรียมตัวเพื่อชีวิตข้างหน้า
· ปรัชญาการศึกษาลัทธิสารัตถนิยม (Essentailism) เน้นการเตรียมเพื่อชีวิต โดยเพ็งเล็งในสิ่งที่จําเป็นหรือเป็นสารัตถะ ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ได้รับการทดสอบมาแล้วหลายชั่วอายุคน และเป็นสิ่งที่ทุกคนจําเป็นต้องรับรู้
· ปรัชญาการศึกษาลัทธิพิพัฒนาการนิยม (Progressivism) เน้นความสามารถในการปรับตัวให้เข้า กับการเปลี่ยนแปลง ให้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้ และให้สามารถใช้ศักยภาพตนได้อย่างเต็มที่
· ปรัชญาการศึกษาลัทธิบูรณาการนิยม (Reconstructionism) เน้นการสร้างบูรณาการให้กับสังคม เป็นตัวนําสังคม สามารถกําหนดวิถีทาง และคุณค่าของสังคมได้
· ปรัชญาการศึกษาลัทธิอัตถิภาวนานิยม (Existentialism) เชื่อว่าการศึกษาจะต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนได้มีความเจริญงอกงามในแง่ของการมีอิสระ มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ใช่เป็นการปรับตัวหรืออยู่ภายใต้การบีบบังคับของหมู่คณะ
· ปรัชญาการศึกษาตามแนวพุทธศาสตร์ (Buddhistic Philosophy of Education) อาศัยหลักไตรลักษณ์ในการอธิบายเรื่องของชีวิต โลกและปรากฏการณ์ต่างๆ ในกรณีที่นําเอาแนวคิดของปรัชญาการศึกษาลัทธิต่างๆมาใช้ในการกําหนดองค์ประกอบของหลักสูตรโดยไม่มีสิ่งเจือปน ย่อมส่งผลแตกต่างกันไป ไม่ว่าความมุ่งหมาย เนื้อหาสาระ ยุทธศาสตร์การเรียนการสอน และอํานาจในการตัดสินใจ อย่างไรก็ตามในการปฏิบัติจริงจะไม่เป็นอย่างบริสุทธิ์ทีเดียว เนื่องจากเป็นการยากที่จะหาผู้ที่ยึดถือหลักปรัชญาลัทธิใดลัทธิหนึ่งอย่างบริสุทธิ์ ผลที่ปรากฏจึงมักมีลักษณะผสม แต่จะมีสิ่งที่ช่วยได้ว่ามีแนวโน้มเอียงไปข้างปรัชญาการศึกษาลัทธิใด
พื้นฐานทางสังคม (Social Foundations)
หน้าที่ของการศึกษาในส่วนที่เกี่ยวกับสังคม มีผลให้การศึกษามีความสัมพันธ์กับสังคมอย่างแยกไม่ออก ความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากับสังคมจึงมีลักษณะที่เป็นเหตุเป็นผลต่อกันและกัน หรืออาจกล่าวได้ ว่าต่างฝ่ายต่างมีอิทธิพลต่อกันและกัน ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหรือความต้องการใหม่ๆ เกิดขึ้นในสังคม การศึกษาย่อมได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนั้น ดังที่เราเคยได้ยินเสมอว่า หลักสูตรการศึกษาไม่ดี ผู้สําเร็จการศึกษาแล้วหางานทําไม่ได้ หรือเด็กในเวลานี้มีความประพฤติไม่ดี ศีลธรรมต่ำ เพราะการศึกษาบกพร่องลักสูตรใช้ไม่ได้ เมื่อเป็นดังนี้หลักสูตรการศึกษาย่อมเปลี่ยนแปลงไปเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม ในขณะเดียวกันเมื่อบุคคลในสังคมได้รับการศึกษาขั้นสูงขึ้น ได้ออกมาทําหน้าที่ต่างๆในสังคม ความเปลี่ยนแปลงในสังคมก็เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นไปตามหลักการที่ว่า สังคมมีส่วนทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการศึกษาและการศึกษามีส่วนทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมได้เช่นเดียวกัน
พื้นฐานทางจิตวิทยา (Psychological Foundations)
วิทยาการที่เรียกว่าจิตวิทยาพัฒนาและจิตวิทยาการเรียนรู้ เป็นพื้นฐานที่สําคัญที่นักพัฒนาหลักสูตร จะต้องมีความรู้และความเข้าใจ สามารถนํามาประยุกต์ในการพัฒนาหลักสูตรได้ จิตวิทยาพัฒนาชี้ให้เห็นว่า เด็กหรือผู้เรียนแต่ละคนมีความสามารถ ความสนใจ เจตคติและศักยภาพแตกต่างกัน เป็นของตัวเองโดยเฉพาะ แต่ละคนมีความต้องการทางด้านร่างกาย ปัญญา จิตใจ หรืออารมณ์ไม่เหมือนกัน ปัญหาในด้านดังกล่าวก็แตกต่างกันไปด้วย ในเรื่องของความแตกต่างกันนี้จิตวิทยาว่าด้วยความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ชี้ชัดว่า ในโลกนี้จะหาคนที่มีลักษณะทางจิตวิทยาสองคนเหมือนกัน ก็ไม่อาจหาได้ในทํานองเดียวกันเมื่อพิจาณาในด้านการเรียนรู้ จิตวิทยาการเรียนรู้ได้ชี้ให้เห็นว้า ผู้เรียนแต่ละคนมีระดับของเชาว์ปัญญาแตกต่างกันตั้งแต่เกิดมาแล้ว และสิ่งนี้มีผลทําให้ความสามารถในการเรียนรู้ของแต่ละคนแตกต่างกันไปด้วย การที่ผู้เรียนแต่ละคนมีคุณลักษณะ มีความต้องการและความสนใจแตกต่างกัน ทําให้การจัดการศึกษาประสบความยุ่งยาก โดยเฉพาะในด้านหลักสูตร มีปัญหาว่าจะทําอย่างไร จึงจะตอบสนองความต้องการและแก้ปัญหาความแตกต่างได้ด้วย
5. ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning Theory)
ทฤษฎีการเรียนรู้ (learning theory) การเรียนรู้คือกระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะเรียนรู้ด้วยการเรียนในห้อง การซักถาม ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่ แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผู้สอนนำเสนอ โดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนจะเป็นผู้ที่สร้างบรรยากาศทางจิตวิทยาที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดก็ได้เช่น ความเป็นกันเอง ความเข้มงวดกวดขัน หรือความไม่มีระเบียบวินัย สิ่งเหล่านี้ผู้สอนจะเป็นผู้สร้างเงื่อนไข และสถานการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียน ดังนั้น ผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกรูปแบบการสอน รวมทั้งการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน
6. เนื้อหาหลักสูตร (Curriculum Content): Instructional Design, Curriculum Based Assessment
การออกแบบการสอน (Instructional Design) เป็นการนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้อย่างเป็นระบบเพื่อให้การออกแบบหรือการวางแผนการสอนมีประสิทธิภาพสูงสุด หลักการออกแบบการสอน (Instructional Design) เป็นสิ่งแนะนำ แนวทางสำ หรับครูผู้สอนหรือผู้ออกแบบการสอน (Instructional Designer)ให้ประสบผล สำเร็จในการออกแบบ และรู้แนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัย และสร้างเสริมประสบการณ์ ในการออกแบบการสอน (Instructional Design) เพื่อนำความรู้ที่มีอยู่อย่างหลากหลายไปสู่ผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การออกแบบการสอน (Instructional Design) เป็นทั้งกระบวนการสำหรับการจัดเตรียมโปรแกรมการสอนอย่างเป็นระบบและหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ของบุคคล ทั้งกระบวนการ และหลักการดังกล่าวมาเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งในการออกแบบการสอน ซึ่งจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
เป็นการนำเอาวิธีระบบ หรือการจัดระบบมาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลที่ป้อน (Input) กระบวนการ (Process) และมีผลผลิต (Output) เช่น ระบบการสอน จะมีองค์ประกอบย่อย ๆ เช่น ระบบครูผู้สอน ระบบนักเรียน ระบบสื่อการสอน ระบบการเลือกและใช้สื่อการสอน หรือแหล่งการเรียนรู้ ซึ่งหน่วยย่อยเหล่านี้ สามารถทำงานในหน้าที่ของตนอย่างมีอิสระ แต่ถ้าหน่วยย่อยนั้นมีการเปลี่ยนแปลงก็จะส่งผลกระทบถึงหน่วยย่อยอื่น ๆ ด้วย ระบบการสอนที่มีการออกแบบโดยใช้วิธีระบบ (Systematic approach) มีการทดลองใช้อย่างกว้างขวาง มีการกำหนดขั้นตอนการสอน เช่น มีการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ การใช้แหล่งความรู้ ให้สามารถตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน เช่น วัย เพศ อัตราการเรียนรู้ ความสามารถทางด้านสติปัญญา ความสนใจ ความถนัด ประสบการณ์เดิม ตลอดจนพื้นฐานทางวัฒนธรรม ซึ่งครูผู้สอนและนักเทคโนโลยีการศึกษา จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการออกแบบพัฒนาระบบการสอน
Curriculum-Based Assessments (CBA) การประเมินอิงหลักสูตรสัมพันธ์กับทักษะเฉพาะอย่างและมโนมติที่เฉพาะเจาะจงที่สอนในระดับชั้นเรียนตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตร เช่น (1) Brigance Comprehensive Inventory of Basic Skills-Revised (2)Brigance Inventory of Essential Skills (Bryant, 2008) Curriculum-based Assessments เป็นคำที่ใช้กว้างกว่า Curriculum-Based Measurement (CMB) และ CBM ก็เป็นเพียง CBA ประเภทหนึ่ง นอกจากนี้แล้ว CBM ยังบรรลุความต้องการของ CBA 3ประการ คือ (1) วัสดุการวัดเป็นไปในแนวเดียวกับหลักสูตรของโรงเรียน (2) การวัดบ่อยครั้ง (3) สารสนเทศเกี่ยวกับการประเมินถูกนำไปใช้เพื่อกำหนดการตัดสินใจเกี่ยวกับการสอน แม้ว่า CBM จะเป็น CBA ประเภทหนึ่ง แต่ CBM ก็ต่างกับ CBA เนื่องจากมีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติม 2 ประการ คือ (1) แบบทดสอบ CBM แต่ละชุดจะมีรูปแบบที่เป็นทางเลือกที่มีความยากที่เท่าเทียมกัน ตัวอย่างแบบทดสอบแต่ละชุดใช้ระยะเวลาหนึ่งปีของหลักสูตรเหมือนกับการใช้วิธีการปฏิบัติตามคำสั่งในการสร้างแบบทดสอบ ตามความเป็นจริงแล้ว CBM มักจะใช้แบบทดสอยทั่วไปที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อสะท้อนถึงหลักสูตรที่เป็นที่นิยมในทางตรงกันข้าม รูปแบบอื่นของ CBA ต้องการให้ครูออกแบบการประเมินด้วยตนเอง การสร้างแบบทดสอบ CBA ต้องใช้เวลามากสำหรับครูเพราะกระบวนการวัดมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลาที่นักเรียนรอบรู้ตามจุดประสงค์ และความแตกต่างระหว่างนักเรียนในชั้นเรียนเดียวกัน (2) CBM เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน ซึ่งประกันได้ว่าคะแนนมีความเที่ยงและความตรง CBM จะเตรียมครูด้วยชุดของมาตรฐานของวัสดุที่ผ่านการทำวิจัยมาแล้วเพื่อให้ได้สารสนเทศที่มีความหมายและถูกต้อง ในทางตรงกันข้าม ความเหมาะสมของการพัฒนาแบบทดสอบ CBA โดยครูและ CBA จะเป็นตัวแทนของความสามารถของทักษะที่มีความหมายและสำคัญหรือไม่และนักเรียนจะได้คะแนนเหมือนเดิมหรือไม่ถ้ามีการทดสอบใหม่
7. ผลการเรียนรู้(Learning Outcomes)
ผลการเรียนรู้ หมายถึง สิ่งที่พัฒนาขึ้นในตัวผู้เรียน ทั้งจากการเรียนในห้องเรียน กิจกรรมในและนอกหลักสูตร ปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนกับอาจารย์ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ศึกษาอยู่
8. กิจกรรมการเรียนรู้ (Learning activities)
กิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจ เข้าใจ เกิดการเรียนรู้ และมีพัฒนาการการเปลี่ยนแปลงตามเป้าหมายของหลักสูตรการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Child-centeredness) การจัดการเรียนการสอนที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมและมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเรียนรู้ บทบาทของครูจะเปลี่ยนแปลงจากการเป็นผู้ชี้นำ หรือผู้ถ่ายทอดความรู้ ไปเป็นผู้ช่วยเหลือ
อำนวยความสะดวก ส่งเสริมสนับสนุนผู้เรียนในการแสวงหาความรู้และลงมือปฏิบัติ และสร้างสรรค์ความรู้โดยใช้วิธีการต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงความความถนัด ความสนใจ และความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการสร้างสรรค์ความรู้ และนำความรู้ ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โครงงาน (Project) ภาระงานที่ผู้เรียนปฏิบัติ ซึ่งอาจเป็นลักษณะการทำงาน เป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ดัดแปลง และบูรณาการความรู้ไปใช้อย่างกว้างขวางในการปฏิบัติงาน โดยมีการกำหนดเป้าหมายและวางแผนขั้นตอนการดำเนินงาน การจัดการอย่างเป็นระบบ มีการบันทึกและรายงานผลการปฏิบัติงานแต่ละขั้นตอน ใช้เอกสารอ้างอิงหรือแหล่งค้นคว้าต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
การสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) แนวคิดทางการศึกษาที่เชื่อว่าองค์ความรู้เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นจากผู้เรียนเอง เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่ในสติปัญญาของแต่ละคน มิใช่จากภายนอกที่ครูเป็นผู้บอกหรือจัดสรรให้ผู้เรียนพัฒนาและสร้างความรู้ด้วยตัวเองด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ครูมีบทบาทในการสนับสนุนการเรียนจัดบรรยากาศ และสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ กรอบแนวคิด ดังกล่าวมีอิทธิพลต่อการออกแบบการเรียนการสอนในยุคปัจจุบันอย่างยิ่ง
การเอื้อตามสภาพผู้เรียน (Accommodation) การปรับวิธีการเรียนการสอน สื่อการเรียน และรูปแบบวิธีการวัดและประเมินผล ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพร่างกาย และความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อเอื้ออำนวยให้ผู้เรียนพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ และบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้เช่นเดียวกับเด็กทั่วไป เช่น ใช้สื่ออักษรเบรลกับผู้เรียนตาบอด การปรับเวลาในการเรียนหรือการทดสอบเป็นช่วงสั้น ๆ สำหรับผู้เรียนที่มีสมาธิสั้น เป็นต้น
9. การกำหนดระดับคุณภาพผลการเรียนรู้ : SOLO Taxonomy
ขณะที่นักศึกษาออกแบบผลิตภัณฑ์ในการพัฒนาและเรียนรู้ผลที่ได้จากการเรียนรู้ของพวกเขาแสดงขั้นตอนที่คล้ายกันของโครงสร้างที่ซับซ้อนอนุกรมวิธาน SOLO ที่มีความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นในโครงการออกแบบผลิตภัณฑ์โซลูชั่นการออกแบบข้อ จำกัด เช่นการผลิตและการยุทธศาสตร์กลายเป็น เน้นของการประเมินผลและในแง่นี้เป็นตัวแทนของระดับที่แตกต่างหรือขั้นตอนของความคิดสร้างสรรค์เพื่อตอบสนองการออกแบบเบื้องต้นเช่นรูปแบบและแนวคิด มันมีความซับซ้อนของปัญหาและความจุของนักเรียนในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนที่ส่งผลให้ในลำดับชั้นของความคิดสร้างสรรค์ผลลัพธ์การเรียนรู้รมย์ออกแบบรูปแบบการทำ CPR ผลการเรียนรู้ขั้นตอน
Prestructutal - ไม่มีอะไรเป็นที่รู้จักกันเกี่ยวกับพื้นที่
Unistructural - แง่มุมหนึ่งที่เกี่ยวข้องที่รู้จักกัน
Multistructural - หลายแง่มุมที่เกี่ยวข้องอิสระเป็นที่รู้จักกัน
สัมพันธ์ - แง่มุมของความรู้แบบบูรณาการในโครงสร้าง
บทคัดย่อ extended - ความรู้คือทั่วไปไปยังโดเมนใหม่
อนุกรมวิธานแบบ CPE นี้อธิบายในแง่ของผลิตภัณฑ์ผลลัพธ์การเรียนรู้การออกแบบในหลักสูตรปริญญาตรี ตารางที่ 2 ด้านล่างนี้ใช้คำศัพท์อนุกรมวิธาน SOLO รายการการเรียนรู้ขั้นตอนผลในการออกแบบผลิตภัณฑ์ในแง่ของความซับซ้อนของโครงสร้างในช่วงปกติระดับปริญญาตรีสี่ปี ในตารางที่ 2 จะสามารถสังเกตเห็นว่าการเพิ่มความซับซ้อนในการออกแบบผลิตภัณฑ์ผลลัพธ์การเรียนรู้ในขั้นตอนคล้ายกับในอนุกรมวิธาน SOLO
ความเข้าใจของความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของการเรียนรู้ของนักเรียนในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความสำคัญกับรูปแบบ CPE มันมีการเชื่อมต่อโดยตรงกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นในการออกแบบผลิตภัณฑ์งานโครงการสตูดิโอ โดยการปรับบางส่วนของภาษาจากอนุกรมวิธาน SOLO เป็นโครงการง่ายๆที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบรูปแบบหรือท้าทายนักเรียนจะสร้างสรรค์ในแง่ของความคิดที่แปลกใหม่และแนวคิดที่สามารถจำได้ว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่ระดับ Uni-โครงสร้าง ความคิดสร้างสรรค์บนเวทีหลายโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการโครงการโดยรวมบวกหนึ่งหรือสองข้อ จำกัด การออกแบบและขั้นตอนที่สัมพันธ์สังเกตเมื่อนักเรียนจะสามารถดำเนินการโครงการการออกแบบที่ซับซ้อนรวมข้อ จำกัด หลายเวทีบทคัดย่อขยายควรจะเป็นเป้าหมายในหลักสูตรบัณฑิตศึกษาที่จะใช้เวลาโครงการออกแบบที่ซับซ้อนในระดับของการวิจัยการออกแบบผลิตภัณฑ์
10.การประเมินผล
การประเมินผล (Evaluation) หมายถึง การนำเอาข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการวัดรวมกับการใช้วิจารณญาณของผู้ประเมินมาใช้ในการตัดสินใจ โดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์ เพื่อให้ได้ผลเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เนื้อหมูชิ้นนี้หนัก 0.5 กิโลกรัมเป็นเนื้อหมูชิ้นที่เบาที่สุดในร้าน (เปรียบเทียบกันภายในกลุ่ม) เด็กชายแดงได้คะแนนวิชาภาษาไทย 42 คะแนนซึ่งไม่ถึง 50 คะแนนถือว่าสอบไม่ผ่าน (ใช้เกณฑ์ที่ครูสร้างขึ้น) เป็นต้น การประเมินผลแบ่งได้เป็น 2 ประเภท การประเมินแบบอิงกลุ่มและการประเมินแบบอิงเกณฑ์
1. การประเมินแบบอิงกลุ่ม เป็นการเปรียบเทียบคะแนนจากแบบทดสอบหรือผลงานของบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับบุคคลอื่น ๆ ที่ได้ทำแบบทดสอบเดียวกันหรือได้ทำงานอย่างเดียวกัน นั่นคือเป็นการใช้เพื่อจำแนกหรือจัดลำดับบุคคลในกลุ่ม การประเมินแบบนี้มักใช้กับการ การประเมินเพื่อคัดเลือกเข้าศึกษาต่อ หรือการสอบชิงทุนต่าง ๆ
2. การประเมินแบบอิงเกณฑ์ เป็นการเปรียบเทียบคะแนนจากแบบทดสอบหรือผลงานของบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเกณฑ์หรือจุดมุ่งหมายที่ได้กำหนดไว้ เช่น การประเมินระหว่างการเรียนการสอนว่าผู้เรียนได้บรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ได้กำหนดไว้หรือไม่
ข้อแตกต่างระหว่างการประเมินผลแบบอิงกลุ่มและอิงเกณฑ์
การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม
1. เป็นการเปรียบเทียบคะแนนที่ได้กับคะแนนของคนอื่น ๆ
2. นิยมใช้ในการสอบแข่งขัน
3. คะแนนจะถูกนำเสนอในรูปของร้อยละหรือคะแนนมาตรฐาน
4. ใช้แบบทดสอบเดียวกันทำหรับผู้เรียนทั้งกลุ่มหรืออาจใช้แบบทดสอบคู่ขนาน เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบกันได้
5. แบบทดสอบมีความยากง่ายพอเหมาะ มีอำนาจจำแนกสูง
6. เน้นความเที่ยงตรงทุกชนิด
การประเมินแบบอิงเกณฑ์
1. เป็นการเปรียบเทียบคะแนนที่ได้กับเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้
2. สำหรับการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนหรือเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน
3. คะแนนจะถูกนำเสนอในรูปของผ่าน-ไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
4. ไม่ได้เปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ จึงไม่จำเป็นต้องใช้แบบทดสอบฉบับเดียวกันกับผู้เรียนทั้งชั้น
5. ไม่เน้นความยากง่าย แต่อำนาจจำแนกควรมีพอเหมาะ
6. เน้นความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น