รายละเอียดที่เหลือ อยู่ด้านล่างจ้า
การปลูกต้นไม้::การพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตร คือ การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงหลักสูตรอันเดิมให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านการวางจุดมุ่งหมาย การจัดเนื้อหาวิชา การเรียนการสอน การวัดและประเมินผล และอื่นๆ เพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายอันใหม่ที่วางไว้ การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรคือการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบหรือเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ตั้งแต่จุดมุ่งหมายและวิธีการ และการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรนี้จะมีผลกระทบกระเทือนทางด้านความคิดและความรู้สึกนึกคิดของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ส่วนการปรับปรุงหลักสูตร หมายถึง การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเพียงบางส่วนโดยไม่เปลี่ยนแปลงแนวคิดพื้นฐาน หรือรูปแบบของหลักสูตร
ปุ๋ยสูตร S-S-L
ปุ๋ย S = เนื้อหาสาระของรายวิชาหรือหลักสูตร (Subject matter)
เนื้อหาสาระของรายวิชาหรือหลักสูตรเป็นแหล่งข้อมูลในการรวบรวมเพื่อออกแบบหลักสูตรที่เหมาะสมกับวิสัยทัศน์ที่ตั้งเอาไว้แล้ว
ปุ๋ย S = สถาบันทางสังคม (Society)
สถาบันทางสังคมถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อหลักสูตรโดยตรง เนื่องจากหลักสูตรจำเป็นที่จะต้องมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสถาบันทางสังคมเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้และความเข้าใจที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้
นักสังคมวิทยาได้อธิบายจำแนกสถาบันทางสังคมที่สำคัญเป็น 6 สถาบัน คือ
1) สถาบันทางครอบครัว (Family Institution)
2) สถาบันทางการศึกษา (Educational Institution)
3) สถาบันทางศาสนา (Religious Institution)
4) สถาบันทางการเมือง (Political Institution)
5) สถาบันทางเศรษฐกิจ (Economic Institution)
6) สถาบันทางนันทนาการ (Recreational Institution)
ปุ๋ย L = ผู้เรียน (Learners)
การทำหลักสูตรนั้นต้องอาศัยความเข้าใจในตัวผู้เรียนเพื่อที่จะได้สร้างหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของจิตวิทยาพัฒนาการของเด็กวัยเรียน เช่น
ระดับปฐมวัย (3-5 ปี)
ทางกาย เหมาะกับกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย การทรงตัวดี การฝึกลากเส้น วาดภาพ ระบายสีจะช่วยให้ข้อมือ นิ้ว แข็งแรงขึ้น และทำงานประสานกับสายตาได้ดีขึ้น
อารมณ์ ความอยากรู้อยากเห็น เพราะจะนำไปสู่ความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ยิ่งเด็กประสบความสำเร็จแล้วได้รับการชมเชย ได้รางวัล เขาก็จะมีความกระตือรือร้นมากขึ้น นำไปสู่ความขยันหมั่นเพียร และการพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
สังคม ควรได้รับการฝึกฝนให้เข้าใจกฎระเบียบต่าง ๆ รู้จักแบ่งปัน และอดทน รอคอยได้ตามความเหมาะสม
สติปัญญา วัยนี้ช่างซักถามแต่ไม่ค่อยสนใจคำตอบ ใช้ภาษาได้ดี พูดประโยคยาว ๆ ได้ สนใจเฉพาะเรื่อง มีจินตนาการสูง สามารถสร้างเรื่องจากจินตนาการ ควรส่งเสริมจินตนาการของเด็กให้มากที่สุด แต่ก็ควรระวังเพราะเด็กบางคนแยกไม่ออกว่าอะไรคือเรื่องจริงอะไรคือความฝันควรให้เด็กผลัดกันออกมาพูดเรื่องต่าง ๆ ให้เพื่อนฟัง เพื่อฝึกทั้งการคิด การพูด และการสนใจฟังผู้อื่น เป็นต้น
ทางด้านจิตวิทยา
พื้นฐานด้านจิตวิทยา การพัฒนาหลักสูตรเป็นงานที่มีขอบเขตกว้างขวางมาก รวมถึงการสร้างหลักสูตรขึ้นมาและการปรับปรุงหลักสูตรที่สร้างขึ้นมาแล้ว ให้มีความเหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา และสังคม ซึ่งในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยหลักจิตวิทยาเข้าช่วย เพราะจิตวิทยาเป็นรากฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งในการวางหลักสูตรรากฐานทางจิตวิทยา ดังกล่าวได้แก่ พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กนั่นเอง
การพัฒนาหลักสูตรควรวางรากฐานให้ควบคู่ไปกับทางด้านจิตวิทยา ดังนี้
1. ควรจัดหลักสูตรให้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของผู้เรียน
2. ควรนำทฤษฎีจิตวิทยามาปรับใช้ให้เข้ากับบุคลิกภาพที่แตกต่างของผู้เรียน
3. ควรพัฒนาให้ผู้เรียนมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัยที่ดี
4. ผู้เรียนควรมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
5. ผู้เรียนควรมีความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆ ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
หลักสูตรควรจัดให้ผู้เรียนมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น
จิตวิทยากับการพัฒนาหลักสูตร จิตวิทยานำมาพัฒนาหลักสูตร 2 แขนง คือ
1.จิตวิทยาพัฒนาการ นำมาพัฒนาหลักสูตรในด้านต่างๆ ดังนี้
1) การกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
2) การกำหนดระยะเวลาความสนใจของเด็กหรือคาบเวลาในการเรียนรู้
3) การกำหนดเกณฑ์อายุมาตรฐานของการเข้าเรียน ต้องคำนึงถึงความพร้อมของเด็กทั้งทางร่างกาย
และสติปัญญา
4) การจัดเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ ซึ่งจะต้องยึดลำดับความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความยากง่าย ความสลับซับซ้อนของเนื้อหาทำให้พอเหมาะกับวัยของ
ผู้เรียนด้วย
2.จิตวิทยาการเรียนรู้ เป็นจิตวิทยาว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ของการเรียนรู้และองค์ประกอบต่างๆ มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ การคิด และการแก้ปัญหา จิตวิทยาแขนงนี้จะช่วยให้ทราบว่ามนุษย์เราเรียนรู้ได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีปัจจัยอะไรบ้างที่มีอิทธิพลทำให้ผู้เรียน เรียนรู้ได้เร็วหรือช้า เป็นต้น
ด้านปรัชญา
เป็นการกำหนดจุดมุ่งหมายเพราะ ปรัชญา สอน การศึกษาจากประสบการณ์ความจริง ซึ่งเปนส่วนที่ชีวิตต้อง ค้นพบดังนั้นการศึกษาหรือ หลักสูตรต้อง มีปรัชญาเพื่อกำหนดว่า ให้นักเรียนเป็นไปในทิศทางใดจะให้ เก่งสังคม หรือ เก่ง ครบด้านแต่ ก็ควรมีครบทั้งสามด้าน เก่งดีมีสุขเพื่อเปนคนที่สมบูรณ์
การประเมินผล
“การประเมินหลักสูตร” หมายถึง การประเมินผลของกิจกรรมการเรียนภายในขอบข่ายของการสอน ที่เน้นเฉพาะจุดประสงค์ของการตัดสินใจในความถูกต้องของจุดมุ่งหมาย ความสัมพันธ์และความต่อเนื่องของเนื้อหา และผลสัมฤทธิ์ของวัตถุประสงค์เฉพาะซึ่งนาไปสู่การตัดสิน ใจในการวางแผน การจัดโครงการ การต่อเนื่องและการหมุนเวียนของกิจกรรมโครงการต่างๆที่จะจัดให้มีขึ้น
รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดจุดมุ่งหมายเป็นหลัก (Goal Attainment Model)
ในการประเมินหลักสูตรตามแนวคิดของไทเลอร์ จะเห็นว่าเป็นการยึดความสาเร็จของผู้เรียนส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน โดยการวัดพฤติกรรมก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นหลัก (Pre - Post Measurement) และมีการกาหนดเกณฑ์ไว้ล่วงหน้าว่าความสาเร็จระดับใดจึงจะถือว่าประสบความ สาเร็จตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ การประเมินผลแบบนี้จึงเป็นแบบการประเมินผลสรุป (summative evaluation) มากกว่าการประเมินผลความก้าวหน้า
กระบวนการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์
ที่มา : สมบูรณ์ ชิตพงศ์ และคณะ, “รูปแบบการประเมิน,” เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตรการ
ประเมินทางการศึกษา รุ่นที่ 2 สานักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัย -
ศรีนครินทรวิโรฒ, 14-24 สิงหาคม 2544, 45.
รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ช่วยในการตัดสินใจ (Decision-Making Model)
รูปแบบการประเมินหลักสูตรแบบ CIPP นี้เป็นการประเมินทั้งระบบ ผู้ประเมินผลจะประเมิน ผลทั้ง 4 ด้าน แล้วนามาพิจารณาดูความสอดคล้องและความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ เมื่อกาหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรอย่างไร ปัจจัยอื่นๆและกระบวนการเรียนการสอนก็ต้องเอื้อให้ผู้เรียนเป็นไปตามจุดมุ่ง หมายนั้นๆ เป็นการประเมินดูผลรวมที่เกิดขึ้นจริงจากการปฏิบัติหรือสภาพที่เป็นอยู่ว่าสอดคล้องกันหรือ ไม่ ทาให้ได้ข้อมูลในการตัดสินคุณค่าของหลักสูตรได้ รวมทั้งทราบว่าส่วนใดของหลักสูตรที่ใช้ได้และส่วนใดมีข้อบกพร่อง เพื่อที่จะปรับปรุงแก้ไขให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น
กรอบแนวคิดในการประเมินแบบซิพพ์และการตัดสินใจ
ที่มา : Worthen and Sander, อ้างถึงใน ทบวงมหาวิทยาลัย การพัฒนาหลักสูตรระดับอุดมศึกษา. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, 2543), 58.
ขอบเขตของการประเมินหลักสูตร
เพื่อให้การประเมินหลักสูตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องมีขอบเขตของการประเมินที่ชัดเจน โดยโบแชมพ์ (Beauchamp) กล่าวว่า การประเมินหลักสูตรต้องครอบคลุม 4 ด้านต่อไปนี้ 1) ประเมินผลการใช้หลักสูตรของครู 2) ประเมินรูปแบบของหลักสูตร 3) ประเมินผลที่เกิดกับนักเรียน และ 4) ประเมินระบบหลักสูตร
ที่มา :: George A. Beauchamp, “Curriculum Theory : Meaning, Development, and Use,” Theory Into Practice (Illinois : F.E. Peacock Publisher,1986), 23-27.
สำหรับวิธีสอนแบบไหนที่จะถูกนำมาใช้เพื่อถ่ายทอดความรู้ที่มีประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน ไทเลอร์ได้ให้ข้อเสนอแนะไว้ดังนี้
1. ควรเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะในการคิด
2. ควรเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ช่วยให้ได้รับสารสนเทศ กล่าวคือ ต้องให้ผู้เรียนได้รับสารสนเทศในระหว่างลงมือกระทำหรือปฏิบัติกิจกรรม ควรเลือกสารสนเทศที่สำคัญและใช้บ่อย ๆ เพื่อป้องกันการลืม นอกจากนี้ควรให้ผู้เรียนได้พบสารสนเทศนั้นในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อที่จะสามารถประยุกต์ใช้ได้
3. ควรเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่จะช่วยพัฒนาเจตคติที่ดีต่อสังคม โดยอาจจะให้ผู้เรียนได้ซึมซับจากสิ่งแวดล้อม ผลการสะท้อนทางอารมณ์ที่เกิดจากประสบการณ์ ได้รับจากประสบการณ์ที่เจ็บปวด และอาศัยกระบวนการทางปัญญาโดยตรง
4. ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ช่วยในการพัฒนาความสนใจ โดยให้ผู้เรียนสัมผัสกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการพัฒนาความสนใจของผู้เรียน และหาทางให้กิจกรรมนั้นเชื่อมโยงทางใดทางหนึ่งกับประสบการณ์ที่ผู้เรียนพึงพอใจ
นอกจากนี้ไทเลอร์ยังได้เสนอแนะการจัดเนื้อหาไว้ว่า ควรจะคำนึงถึงความต่อเนื่อง (continuity) ลำดับก่อนหลัง (sequence) และมีการบูรณาการ(integration)
ที่มา : http://www.gotoknow.org/posts/493025
เมื่อรสชาติผลไม้ไม่ถูกใจ มีข้อติชม นั่นก็คือ ข้อบกพร่องของหลักสูตรที่คิดขึ้นมา
เราจะต้องนำหลักสูตรมาเข้ากระบวนการใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้หลักสูตรนั้นมีความสมบูรณ์ได้ผลตามที่ต้องการ
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น